2_คุณแม่มือใหม่ต้องรู้.webp
10 เรื่องที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและลูกน้อย
มัดรวม 10 เรื่องที่คุณแม่มือใหม่และคุณแม่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ควรรู้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลภาวะแทรกซ้อน และลดโอกาสพบโรคร้ายหรือความพิการ
Published

10 เรื่องที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและลูกน้อย

สุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ เป็นเรื่องสำคัญที่ตัวคุณแม่เองและคนรอบข้างต้องหันมาใส่ใจ หากคุณแม่มีสุขภาพที่ไม่ดี อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกในครรภ์ มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษได้ ด้วยเหตุนี้ N Health จึงอยากมาแนะนำ 10 เรื่องที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้ เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและลูกน้อย เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และคุณแม่ที่วางแผนตั้งครรภ์ในอนาคต

1. เข้ารับการตรวจสุขภาพ

ร่างกายของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์มีความอ่อนแอกว่าปกติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนและระบบการทำงานของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์แล้ว แนะนำให้คุณแม่เข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อประเมินร่างกาย ตรวจเช็กความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และนำไปวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม

สำหรับคู่รักที่กำลังวางแผนมีบุตร แนะนำให้ตรวจสุขภาพพร้อมกันทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายและดูแนวโน้มความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเองและคู่รักอีกด้วย ตัวอย่างรายการตรวจ ได้แก่ ตรวจเลือด ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ตรวจเชื้อซิฟิลิส ตรวจคัดกรองโรคเลือดธาลัสซีเมีย และตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน เป็นต้น หากสนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> แพ็กเกจตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน

2. ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม (NIPT)

การตั้งครรภ์ในขณะที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป เพิ่มความเสี่ยงให้ทารกมีโอกาสเป็นดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) มากขึ้น ซึ่งกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม ที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ทำให้พัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาล่าช้ากว่าปกติ การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม หรือที่เรียกว่าการตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) ไม่ได้ทำให้คุณแม่รู้เพียงความเสี่ยงในการเกิดภาวะดาวน์ซินโดมเท่านั้น ยังทำให้ทราบความเสี่ยงของการเป็นโรคอื่น ๆ และเพศของทารกอีกด้วย โดยสามารถตรวจได้ตั้งแต่มีอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป

การตรวจ NIPT แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ดังนี้

  1. Essential NIPT ตรวจคัดกรองความผิดปกติโครโมโซม 3 คู่หลักที่พบความผิดปกติบ่อยที่สุด คือ คู่ที่ 21 (ดาวน์ซินโดรม), คู่ที่ 18 (เอ็ดเวิร์ดซินโดรม) และคู่ที่ 13 (พาทัวซินโดรม) และโครโมโซมเพศ

  2. Complete NIPT ตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทุกคู่ ตั้งแต่คู่ที่ 1 - 23 ทำให้ทราบทั้งความผิดปกติทางรูปร่างของทารก, ภาวะแท้ง, การเจริญเติบโตที่ล่าช้า และการเสียชีวิตหลังคลอด

3. ฝากครรภ์

การฝากครรภ์มีประโยชน์มากมาย ทั้งได้ทราบอายุครรภ์ที่ถูกต้อง ติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์  เฝ้าระวังอาการผิดปกติหรือความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ และอื่น ๆ โดยเฉพาะคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์โดยตรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสบายใจให้แก่คุณแม่และครอบครัวเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปวางแผนการดูแลสุขภาพ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการคลอดได้อีกด้วย

4. เฝ้าระวังภาวะครรภ์เป็นพิษ

ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) เกิดจากความดันโลหิตสูง มีระดับโปรตีนในปัสสาวะสูง หรืออวัยวะภายในทำงานผิดปกติ ซึ่งมักจะพบได้บ่อยในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มาแล้วไม่น้อยกว่า 20 สัปดาห์ สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 35 ปี มีภาวะอ้วนหรือเป็นโรคเบาหวาน ตั้งครรภ์ครั้งแรก ตั้งครรภ์แฝด หรือคนในครอบครัวเคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษมาก่อน แนะนำให้คุณแม่มือใหม่คอยเฝ้าระวังภาวะครรภ์เป็นพิษ จากอาการแสดงต่าง ๆ ต่อไปนี้

  • ความดันโลหิตสูงมากกว่า 140/90 mmHg
  • ใบหน้า ข้อมือ มือ และข้อเท้ามีอาการบวม
  • สายตาพร่ามัว หรือมีอาการตาบอดชั่วคราว
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ มีอาการบวมน้ำ
  • หายใจลำบาก มีอาการจุกแน่นหน้าอก แน่นลิ้นปี่ หรือปวดไหล่
  • คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง
  • ปวดศรีษะบริเวณหน้าผาก ท้ายทอย หรือขมับ โดยทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น

5. ทานวิตามินโฟลิก

กรดโฟลิก (Folic Acid) เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง (B9) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตัวอ่อน จึงสามารถป้องกันความผิดปกติของทารก และลดความเสี่ยงของความพิการได้

วิธีทานวิตามินโฟลิก

  • ก่อนตั้งครรภ์ ให้ทานวิตามินโฟลิก ในปริมาณ 0.4-0.8 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างน้อย 1 เดือน
  • ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ควรทานวิตามินโฟลิกวันละ 0.4-0.8 มิลลิกรัม
  • ไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ ควรทานวิตามินโฟลิกวันละ 0.6 มิลลิกรัม
  • หลังการคลอดลูกและในระหว่างให้นมบุตร ควรทานวิตามินโฟลิกวันละ 0.5 มิลลิกรัม

 

*หรือทานตามปริมาณที่แพทย์สั่ง

**ไม่ควรทานวิตามินโฟลิกร่วมกับยาลดกรด เพราะอาจทำให้ร่างกายดูดซึมโฟลิกให้น้อยลง หากคุณแม่เป็นกรดไหลย้อนและต้องการทานยาลดกรด แนะนำให้เว้นระยะย่างอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม

6. การรับประทานอาหาร

เนื่องจากคุณแม่ต้องแบ่งปันสารอาหารที่ได้รับไปยังลูกน้อย คุณแม่จึงต้องรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ครบ 5 หมู่ทั้ง 3 มื้อ และแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพราะในระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้อารมณ์คุณแม่ไม่คงที่และอาจจะอยากรับประทานอาหารมากกว่าปกติ หากไม่ระวังตรงนี้ อาจทำให้เผชิญกับภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน หรือโรคเบาหวานได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณแม่เองหรือทารกในครรภ์ก็ตาม

7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง/วัน และนอนหลับต่อเนื่องตลอดทั้งคืน เพื่อให้  Growth Hormone หลั่งออกมามากที่สุด และช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออย่างเต็มที่ โดยค่อย ๆ เอนตัวนอน จัดท่าให้อยู่ในท่านอนตะแคง หากมีภาวะขาบวมร่วมด้วย ให้นอนหงายและนำหมอนมารองขา ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้บริเวณที่บวมอยู่สูงกว่าระดับหัวใจและบรรเทาอาการบวม

8.  รักษาความสะอาดและสุขอนามัย

เรื่องความสะอาดและสุขอนามัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย ถ้าคุณแม่มีการติดเชื้อที่ช่องปาก ทารกในครรภ์ก็จะติดเชื้อไปด้วยเช่นกัน แนะนำให้รักษาความสะอาดร่างกาย ดูแลสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบายไม่รัดแน่น หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าพื้นสูงที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ส่วนเพศสัมพันธ์สามารถมีได้ แต่ต้องอยู่ในท่าที่เหมาะสมและใส่ใจเรื่องความสะอาด

9. การทำงานและออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ อย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือภาวะซึมเศร้าของคุณแม่ได้ อีกทั้งยังช่วยให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นและทำให้ทารกได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่อีกด้วย แนะนำให้เริ่มออกกำลังกายเบา ๆ ตั้งแต่เดือนที่ 4 เป็นต้นไป สัปดาห์ละ 3-5 วันตามความสะดวก ไม่เกินวันละ 30 นาที หากไม่สะดวกออกกำลังกาย สามารถลุกเดินไปมาภายในบ้าน หรือขยับตัวให้มากขึ้นแทนการอยู่กับที่ได้ ส่วนการทำงานสามารถทำได้ตามปกติ และหลีกเลี่ยงการทำงานหนักที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยหอบ

10.  จัดการกับความเครียด

สิ่งที่พบบ่อยในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คือความเครียดและความอ่อนไหวทางอารมณ์ ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย อาทิ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ความรู้สึกกังวล การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือความไม่มั่นใจในตนเอง ผลกระทบจากความเครียดเหล่านี้ อาจทำให้คุณแม่เสี่ยงต่อการมีภาวะซึมเศร้า และส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ทั้งในเรื่องของการคลอดก่อนกำหนด, น้ำหนักตัวแรกคลอดน้อยกว่าปกติ หรือมีปัญหาด้านอารมณ์เมื่อโตขึ้น

วิธีลดความเครียดขณะตั้งครรภ์

  • รับประทานอาหารที่ชื่นชอบและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
  • หากิจกรรมทำในยามว่าง เพื่อสร้างผ่อนคลาย
  • ออกไปพบปะผู้คน เที่ยว ช้อปปิ้ง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ 
  • ปรับความคิด มองโลกในแง่บวกมากขึ้น
  • ปล่อยวางในเรื่องที่สามารถปล่อยวางได้
  • เลิกกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์ เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่ทุกคนต้องเจอ

สรุป

ทั้งหมดนี้ คือ 10 เรื่องที่คุณแม่มือใหม่ควรรู้ที่ N Health (เอ็น เฮลท์) นำมาฝากกัน หากต้องการให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงขณะตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ น้อย และให้ลูกน้อยเกิดมามีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลความพิการ ลองนำคำแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ทันที สุดท้ายนี้ หากคุณยังไม่ได้รับการตรวจสุขภาพและกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะไปตรวจสุขภาพที่ไหนดี? สามารถเข้ารับบริการที่  N Health ทั้ง 32 สาขาทั่วประเทศ สอบถามทำนัดหมาย หรือรับบคำแนะนำในการเลือกแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่ N Health Customer Service โทร. 02-7624000 กด 1 หรือ LINE @nhealth ตลอด 24 ชั่วโมง